2. switch case
IF เป็นโครงสร้างภาษาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขการทำงาน และกำหนดทิศทางในการทำงานที่เหมาะสมกับเงื่อนไขนั้น ซึ่งโครงสร้างของ if ก็เป็นเช่นเดียวกับภาษา C คือ
1.
if
(condition expression)
2.
Statement
1.
<?
2.
if
(
$a
>
$b
)
3.
echo
“ a is bigger than b”;
4.
if
(
$b
>
$c
) {
5.
echo
“b is bigger than c”;
6.
$c
=
$b
;
7.
}
8.
?>
ELSE
ในกรณีที่ต้องการให้มีทางเลือก มากกว่าหนึ่งทาง โดยท่าเงื่อนไขเป็นจริง ก็ให้ทำทางเลือกหนึ่ง ถ้าไม่เป็นจริง ก็ให้ทำอีกทางเลือกหนึ่ง ก็สามารถทำได้โดยใช้ else เข้ามาช่วยใน if ดังนี้
1.
if
(expression)
2.
true-statement;
3.
else
4.
false-statement;
01.
<?
02.
…
03.
if
(
$a
>
$b
) {
04.
echo
“ a is bigger than b”;
05.
}
else
{
06.
echo
“a is not bigger than b”;
07.
}
08.
…
09.
?>
ELSEIF
elseif เป็นการนำเอา else มารวมกับ if โดยเมื่อ เงื่อนไขแรกไม่เป็นจริง และต้องมาทำคำสั่งใน else ก็จะทำการตรวจสอบเงื่อนไขใน if ที่อยู่กับ else ทันที ซึ่งจะมีรูปแบบดังนี้
1.
if
(expression–1)
2.
statement-1;
3.
elseif
(expression-2)
4.
statement-2;
5.
else
6.
statement-3;
01.
<?
02.
…
03.
if
(
$a
>
$b
) {
04.
echo
“a is bigger than b”;
05.
}
elseif
(
$a
==
$b
) {
06.
echo
“a is equal to b”;
07.
}
else
{
08.
echo
“a is smaller than b”;
09.
}
10.
…
11.
?>
การใช้ elseif นั้น จะใช้ซ้อนกันกี่ชั้นก็ได้ ซึ่งการตรวจสอบเงื่อนไข ก็จะทำไล่มาเรื่อย ๆ
Note : ให้ลองเขียนเป็นภาษาของคนก่อนนะ เช่น ตัวอย่างข้างบนนะ้ ถ้าเป็นภาษาที่คนเราเข้าใจก็คือ
ถ้า a > b ให้บอกว่า a is bigger than b
แต่ถ้า a = b ให้บอกว่า a is equal b
แต่ถ้า a < b ให้บอกว่า a is smaller than b
แล้วจะได้ส่วนของ code ข้างบนครับ